ถึงเวลา! ปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในการแพทย์

รูปแสดงโฆษณา ยาขาว

ฟ้าทะลายโจร

ยาลม 300 จำพวก

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

“กัญชาเป็นภูมิปัญญาของชาติไทย ควรปลดล็อกและนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด” คุยกับคณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” หนึ่งในผู้ผลักดันให้นำกัญชามาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

 

ก่อนหน้านี้ถือได้ว่าเป็นประเด็นกันมาอย่างต่อเนื่องต่อกรณีการวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เกี่ยวกับ “กัญชารักษามะเร็ง” ทำให้วงการแพทย์และหน่วยงานต่างๆ รวมไปถึงประชาชนให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายไม่อนุญาตให้นำพืชเสพติดมาทดลองในมนุษย์ ทำให้เกิดการผลักดันเกิดขึ้น และขณะนี้เรื่องดังกล่าวก็อยู่ในขั้นร่างประมวลกฎหมายใหม่เพื่อจะกำหนดให้ใช้ยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 นำมาใช้เพื่อการรักษาโรค หรือเพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้แล้ว                      

                                                                               

 

• ทราบมาว่าอาจารย์ปานเทพก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้นำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ด้วยเหมือนกัน อาจารย์ทำอะไรอยู่บ้างคะ

ผมเป็นคณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต กรรมการและประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการพิจารณาศึกษาและพัฒนาการวิจัยพืชเสพติด มหาวิทยาลัยรังสิต และทาง ม.รังสิต ได้ให้ผมเป็นคณะกรรมการและเป็นโฆษกในคณะกรรมการกฎหมายและการผลักดันครับ

ในฐานะที่ผมช่วยผลักดัน ผมจึงมีบทบาทหน้าที่ในการรวบรวมหมอยาไทยที่แท้จริงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ โดยการคัดสรรจากการตระเวนหาทั่วประเทศไทย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต้องมาจากคนเคยมีประสบการณ์รุ่นต่อรุ่น เพราะจริงๆ แล้วตัวแพทย์แผนไทยก็หายไปเป็นร้อยปี เพิ่งจะมารื้อฟื้นในช่วง 30 ปีมานี้เอง อีกทั้งตำรับยาไทยในเรื่องของกัญชาก็ได้หายไปหลายสิบปีแล้ว เราจึงต้องอาศัยคนที่มีตระกูล มีปู่ มีพ่อ และเป็นหมอยาตกทอดมากระทั่งถึงวิธีการปลูก การใช้ การปรุงจริง ถึงจะมีโอกาสนำความรู้นี้กลับมาใช้ได้ เพราะผมมองว่ามันไม่ใช่แค่ในตำราและในคัมภีร์ แต่มันเป็นเรื่องเทคนิคที่ถูกซ่อนอยู่หลังตัวอักษรเหล่านั้น

ตรงนี้ผมก็ได้ไปรวบรวมมาในสภาแพทย์บูรณาการ ก็มีหลายคนที่หาตัวจับยาก และตอนนี้หนึ่งในกรรมการสภาแพทย์บูรณาการก็เป็นความเห็นหลักในตำรับยาไทยของสมุนไพรที่จะใช้วิจัยกัญชาของกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกด้วยครับ

                                                                              

 

• ล่าสุดเห็นว่าอาจารย์ออกมาพูดถึงเรื่องสารสกัดจากกัญชา ที่ถูกบริษัทต่างชาติยื่นขอจดสิทธิบัตรในประเทศไทยไปแล้วถึง 3 ฉบับ เรื่องนี้เป็นมาอย่างไรคะ

ตรงนี้ผมได้รับข้อมูลมา จากข้อมูลพบว่าสารสกัดจากกัญชาได้ถูกบริษัทต่างชาติยื่นขอจดสิทธิบัตรในประเทศไทยไปแล้วถึง 3 ฉบับ ครอบคลุมโรคลมชัก, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ แม้ว่าจะยื่นคำขอตั้งแต่ปี 2553-2554 แต่การประกาศโฆษณาสิทธิบัตรเริ่มตั้งแต่ปี 2557-2559

1. ช่วง พ.ศ. 2553-2554 มีบริษัทยาชาวอังกฤษที่มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ได้ให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยขอจดสิทธิบัตร โดยเลือกสารสำคัญอย่าง CBD (Cannabidiol) เพื่อแก้โรคลมชัก ซึ่งสารนี้จะมีมากในกัญชง และมีบางส่วนในกัญชาแต่ไม่ออกฤทธิ์เมา สารชนิดทำให้หยุดอาการลมชักได้เลย

2. ใน พ.ศ. 2554 ก็ได้มีการจดเพิ่มเติมอีกมีทั้งสาร CBD (Cannabidiol) และสาร THCV Tetrahydrocannabivarin เพื่อแก้โรคลมชัก

3. ไม่นานต่อมาก็ได้จดสิทธิบัตรไปไกลกว่านั้น ว่าสารสำคัญในกลุ่ม CBD (Cannabidiol) หรือสารสกัดที่มีในกัญชา แก้โรคมะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้

โจทย์สำคัญก็คือว่า ทั้งๆ ที่ทั่วโลกยังไม่มีการวิจัยถึงขั้นทางคลินิก ไม่มีวิจัยในมนุษย์ ทางระบาดวิทยาก็ยังไม่เริ่มเลย แต่เขาชิงจดสิทธิบัตรไปแล้ว นี่คือการช่วงชิงเพื่อขอจดสิทธิบัตรก่อน และต่อให้เราอ้างเป็นตำรับ เขาจะถามว่าตำรับเรามีสาร CBD (Cannabidiol) ซ่อนอยู่หรือไม่ เห็นไหมครับว่ามันเป็นเรื่องภูมิปัญญาที่เกิดการช่วงชิงผลประโยชน์กัน แล้วเราควรจะมีท่าทีอย่างไร?

แม้ว่าการจดสิทธิบัตรจะอยู่ในช่วงรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่การประกาศกลับเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือประกาศปี 2557 และปี 2559 และต้องให้เวลาคัดค้านกับสาธารณะ 90 วัน ถามว่านี่ปีอะไรแล้วครับ มันปี 2561 ไปแล้ว แสดงว่าผ่านหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว พอผ่านไปหมดแล้ว กฎหมายยังเขียนอีกว่าในช่วงระยะเวลาที่ประกาศ ถ้าไม่มีใครคัดค้าน เท่ากับว่าสามารถจองสิทธิให้ไว้มีเวลากำหนด 5 ปี ให้ส่งคำขอสุดท้ายเพื่อจดสิทธิบัตร และในระหว่าง 5 ปีนี้ คนอื่นจะขอยื่นจดสิทธิบัตรซ้ำอีกไม่ได้ และในคำขอสิทธิก็เขียนไว้กว้างมาก คนที่กำลังพัฒนายาก็จะจดสิทธิบัตรไม่ได้ ซึ่งในขณะที่ 5 ปีนี้ต่างชาติคงวิจัยและจดสิทธิบัตรในต่างประเทศกันมากแล้ว

เรื่องนี้ผมมองว่าเราปล่อยให้จดได้ยังไง เพราะเมืองไทยแท้จริงแล้วเรารู้จักการใช้กัญชามานับหลายร้อยปีแล้ว เป็นภูมิปัญญาชาติมานานแล้ว รวมถึงโรคจากอาการเหล่านี้ก็มีหลายตำรับมาก และการประกาศถามว่าคนไทยรู้ไหมว่าใครจะจดวันไหน ใครจะประกาศเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครรู้หรอก ถึงมีก็น้อยมาก ข้อสำคัญที่ผมเห็นก็คือคนไทยเสียเปรียบเพราะไม่มีใครคิดหรอกครับว่าจะมีใครมาขอจดสิทธิบัตรเรื่องสารสกัดในกัญชา เนื่องจากในประเทศไทยไม่มีใครมีสิทธิปลูก ไม่มีใครมีสิทธิครอบครอง ไม่มีใครมีสิทธิที่จะนำมาทำเป็นตำรับยา ไม่มีใครมีสิทธิวิจัยในมนุษย์ได้ มันเลยไม่มีใครมีสิทธิเป็นเจ้าของสิทธิบัตร เรื่องนี้จึงถูกมองข้ามไป และผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มาก คนไทยไม่รู้ไม่ได้ ผมเลยต้องโพสต์เผยแพร่ ตีแผ่ให้รู้ว่าเรื่องสำคัญเกิดขึ้นแล้วนะ ผมก็เลยได้ทักท้วงไป

                                                                           

 

• หลังจากที่อาจารย์ได้ออกมาทักท้วงเรื่องดังกล่าวนี้ มีผลอย่างไรบ้างคะ

หลังจากที่ผมได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลเช่นนั้น โชคดีมากที่ คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านได้เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ ประกาศว่าจะไม่จดสิทธิบัตร และไม่มีนโยบายจดสารสกัดกัญชาให้ ผมต้องขอบพระคุณท่านมากๆ ที่ท่านมีความตั้งใจที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติเอาไว้ แต่ท่านอาจจะไม่รู้ว่ามันมีการจดไปแล้วถึงขั้นตอนนี้ และทะลุมาถึงขั้นตอนนี้แล้วนะ คือตอนนี้เราต้องรอเขาอีก 5 ปี ถ้ากระทรวงพาณิชย์ไม่จดให้ก็ดี ซึ่งใน 5 ปีนี้เราอาจจะสบายใจว่าไม่มีใครมาจดสิทธิบัตรในประเทศไทยได้ก็จริง แต่ว่าใน 5 ปีนี้คนไทยก็ไม่สามารถจดสิทธิบัตรซ้ำในโรคเดิมที่เขายื่นจดไปแล้วได้ ก็ต้องรอผล 5 ปี แล้วถ้าเกิดต่างชาติจดสิทธิบัตรก่อนเราล่ะ? ถ้าขืนเรายังช้าอยู่แล้วเขาจดกันหมดทั่วโลกล่ะ? คือเราอาจจะห้ามในประเทศไทยได้ แต่เราห้ามทั่วโลกไม่ได้

ปัญหาที่ผมมองก็คือถ้าเรายังช้าอยู่ เราอาจจะไม่ได้สูญเสียเฉพาะแค่ 4 โรค อย่างโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ และโรคลมชักที่เราได้สูญเสียไปในช่วงเวลา 5 ปีนี้ แต่เราจะสูญเสียอีกเยอะมาก

• แสดงว่าจริงๆ แล้ว “กัญชา” นี่มีอยู่ในภูมิปัญญาชาติไทยมานานแล้วหรือคะ อยากให้เล่าความเป็นมาให้ฟังหน่อยค่ะ

จริงๆ ประเทศไทยเรามีองค์ความรู้ในการใช้กัญชามานานแล้วนะครับ หลักฐานที่ปรากฏมีอยู่ 3 ชิ้นสำคัญๆ นะครับ

ในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการรวบรวมตำรับยาซึ่งถือว่าเป็นยุคที่มีวัฒนธรรมของชาติต่างๆ เข้ามาสู่ในประเทศไทยมากที่สุด จนบางตำรับผสมผสานระหว่างของพื้นบ้านกับของต่างประเทศ อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเรามีองค์ความรู้ในเรื่องของทางการแพทย์ที่มาจากนานาชาติเข้ามารวมศูนย์อยู่ที่อยุธยา

ในครั้งนั้นมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเรียกว่า “ตำราโอสถพระนารายณ์” ปรากฏว่ามีกัญชาเข้าอยู่หลายตำรับในนั้น ก็แสดงว่าองค์ความรู้ในการใช้กัญชากับตำรับยาไทยนับเป็นหลายร้อยปีแล้ว ซึ่งต่อมาก็เป็นสมัย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านก็ทรงสนพระทัยในเรื่องการแพทย์ เพราะว่ามันเริ่มกระจัดกระจายนับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแตก ท่านจึงพยายามจะรวบรวมแล้วก็สืบทอดมา ครั้งนั้นทำให้สืบทอดมาจนถึงรัตนโกสินทร์ได้ หมายถึงว่าเราไม่ได้ขาดช่วงในการสืบทอดภูมิปัญญาเลย แล้วภูมิปัญญาก็ต่อเนื่องมาจากอยุธยา นั่นหมายถึงว่าเราน่าจะใช้มาตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยาเสียอีก จนกระทั่งถึงมีการบันทึกเป็นครั้งแรก

เมื่อถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของวิชาการแพทย์แผนไทยดังกล่าวจึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมตำรายาจารึกลงบทแผ่นศิลา และปั้นรูป ฤๅษีดัดตน ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ เมื่อ พ.ศ. 2331

ครั้นเมื่อถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตในวิชาการสาขาต่างๆ ค้นคว้า รวบรวมตรวจสอบและคัดสรรตำราวิชาการต่างๆ ให้ถูกต้อง แล้วให้จารึกลงบนแผ่นศิลาประดิษฐานไว้ตามเสนาสนะภายในวัดโพธิ์ เพื่อให้อาณาประชาราษฎร์ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างทั่วถึง เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตำราการแพทย์แผนไทยนั้น เป็นตำราที่จารึกไว้อย่างมีระบบ โดยได้จัดทำศิลาจารึกพร้อมกับการขยายและบูรณะวัดโพธิ์ รวมใช้เวลาถึง 16 ปี 7 เดือน

การบันทึกนั้นนอกจากจะมีการมีการตรวจสอบและคัดสรรตำราวิชาการแพทย์แล้ว หมอยาหรือผู้มีความรู้ในตำรายาเหล่านั้นต้อง “สาบานตัวว่า ยาขนานนั้นๆ ตัวเองเคยใช้รักษาโรคมาแล้วและได้ผลดีจริง” ต่อจากนั้น พระยาบำเรอราชแพทย์ แพทย์หลวงประจำราชสำนักในขณะนั้น ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งก่อนนำมาจารึก

จนกระทั่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติได้เพียง 2 ปี ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย จางวางกรมแพทย์ เป็นแม่กองจัดหารวบรวม ชำระสอบสวนคัมภีร์แพทย์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนั้นให้ถูกต้อง แล้วส่งมอบให้ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ จางวางกรมอาลักษณ์ กรมอักษรพิมพการ จัดสร้างขึ้นใหม่เป็นคัมภีร์ที่ตรวจสอบชำระแล้วเรียกว่า “เวชศาสตร์ฉบับหลวง” หรือปัจจุบันเรียกว่า “ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์”

สิ่งที่ผมหยิบยกการบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาพูดเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าภูมิปัญญาไทยรู้จักใช้สมุนไพรนับหลายร้อยปี หลายตำรับก็มีการพัฒนาขึ้น หลายตำรับก็สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยรัชกาลที่ ๓ จนถึงรัชกาลที่ ๕ และก็ถูกบันทึกเอาไว้อย่างนั้น จนกระทั่งถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาไทยที่ไม่ควรจะมีใครมาชิงจดสิทธิบัตรได้ เพราะว่าเรารู้สรรพคุณเหล่านี้ของกัญชามาก่อนต่างชาติเสียอีก

                                                                                 

 

• ตอนนี้ในต่างประเทศเขาเริ่มปลดล็อกกัญชาเพื่อนำมาใช้ทางการแพทย์เยอะแล้วหรือยังคะ

มีปรากฏในยุคหลังว่าเริ่มมีการใช้ทางการแพทย์มากขึ้นโดยเริ่มต้นที่มลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เขาจะใช้สารสกัดของกัญชาเอามาเป็นยาในการหยอดใต้ลิ้นและมีคนป่วยเยอะเลยที่เป็นโรคลมชักมีอาการดีขึ้น โรคอาการทางสมองอย่างโรคพาร์กินสันดีขึ้น โรคไขกระดูกอักเสบดีขึ้น ทำให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด นอนหลับ เจริญอาหาร จนถึงหยุดอาการปวดในโรคมะเร็งได้ ซึ่งผมจะบอกว่าโรคมะเร็งบางทีคนเป็นเขาไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคนี้นะครับ แต่เขาเสียชีวิตเพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปวดทรมานมากกว่า และพอรัฐโคโลราโด ใช้กัญชาในทางการแพทย์ ก็ได้เกิดอิทธิพลข้ามมลรัฐ โดยเกิดการอพยพของประชากรมาอยู่ที่รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ผลก็คือมลรัฐข้างเคียงเลยจำเป็นต้องปลดล็อกไปด้วย และที่ใดเริ่มปลดล็อกก็จะเริ่มมีการอพยพข้ามถิ่นมาใช้กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งลุกลามเกินครึ่งประเทศไปแล้ว ทำให้อเมริกาอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ได้

และในการปลดล็อกครั้งนั้นก็เริ่มมีการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก ฯลฯ แต่การทดลองในโลกทั้งหมดตอนนี้ยังไปสู่มนุษย์ไม่ได้เพราะวงการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ยินยอมเพราะคุณจะต้องรักษาตามวงการแพทย์แผนปัจจุบันก่อน นั่นก็คือต้องคีโม ฉายแสงเสียก่อน ผลก็คือคุณไม่มีสิทธิที่จะใช้เพื่อพิสูจน์ว่ามันรักษามะเร็งได้จริงหรือไม่ นอกจากนำมาใช้เป็นยาเสริมแก้อาการข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งก็เท่านั้น เพราะเขาจะไม่ยินยอมให้ใช้พืชสมุนไพรใดทดลองในมนุษย์ก่อนการคีโม ฉายแสงเพราะถ้ามันหายขึ้นมาจริงๆ มันก็จะเปลี่ยนวงการโลก ดังนั้นตอนนี้เขาจะเรียกมันว่ายาเสริมการแพทย์แผนปัจจุบันครับ

ตอนนี้ทั่วโลกแข่งกันเพื่อวิจัยและชิงจดสิทธิบัตร แต่ทั้งหมดทั้งมวลในเรื่องโรคมะเร็งยังไม่มีใครวิจัยสำเร็จในถึงขั้นการทดลองในมนุษย์ ยังไม่มีแม้แต่รายเดียวทั่วโลก ซึ่งการทดลองทั้งหมดตอนนี้จะอยู่ในระดับเพียงแค่ 1. หลอดทดลอง 2. สัตว์ทดลอง ยังไปสู่มนุษย์ไม่ได้ และเนื่องจากมันติดขอบเขตในการวิจัยในมนุษย์มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะปลดล็อกให้วิจัยได้แค่ไหนนี่แหละครับ

                                                                                

 

• แล้วประเทศไทยอยู่ในขั้นตอนไหนอย่างไรแล้วคะ

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีนะครับว่าเมืองไทยยังจัดให้ว่ากัญชานั้นเป็นยาเสพติดอยู่ จึงทำให้ไม่มีใครคิดที่จะวิจัยเลย เพราะวิจัยไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เนื่องจากเป็นยาเสพติด ทำให้ครอบครองก็ยาก ขอใครก็ลำบาก มีสิทธิถูกจับด้วย แต่สิ่งนี้ก็บังเกิดความกล้าหาญขึ้น จากคณะเภสัชศาสตร์ ม.รังสิต ที่ถือว่าเป็นรายแรกที่กล้าตัดสินใจเอากัญชามาทดลองกับโรคประจำถิ่นที่คนไทยป่วยกันเยอะและตายกันมากที่สุด โรคที่ไม่เป็นกันที่อื่นทั่วโลก นั่นก็คือ “มะเร็งท่อน้ำดี” ที่เกิดขึ้นมากจากพยาธิใบไม้ในตับ ตรงนี้เป็นความแหลมคมมากครับ

ตรงนี้ทำให้ ผศ.ดร.ภญ.สุรางค์ ลีละวัฒน์ อาจารย์ประจำหมวดวิชาเภสัชเวทและตัวยา ม.รังสิต ที่เป็นผู้วิจัยได้ไปเอาเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีจากผู้ป่วยจริงในโรงพยาบาลรามาธิบดีมาทดลอง ผลปรากฏว่า สาร THC (delta-9-Tetrahydrocannabinol) ในสารสกัดกัญชาในปริมาณจากน้อยไปหามาก ปริมาณน้อยก็คือสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง พอใช้มากขึ้นเซลล์มะเร็งเกิดฝ่อตายขึ้นมา เรียกว่า อะพอปโทซิส (Apoptosis) สิ่งนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่ ช่วงนั้นก็เริ่มมีการกระพือข่าวแล้วว่าคนไทยสามารถวิจัยได้ว่ากัญชารักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้ในหลอดทดลอง จริงๆ มีรายงานการวิจัยว่ากัญชาสามารถใช้ได้กับมะเร็งหลายชนิดนะครับ แต่งานวิจัยเรื่องมะเร็งทางเดินน้ำดี ยังไม่มี ทาง ม.รังสิตจึงได้ทำเป็นรายแรก นี่จึงถือได้ว่าเป็นก้าวใหญ่มากๆ

ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ในปีใกล้เคียงกันเลย เลยทำให้ชาวต่างชาติมีความคิดที่อยากจะจดสิทธิบัตร เพราะเห็นว่าจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

หลังจากนั้นมาทาง ม.รังสิต จึงได้ไปวิจัยในขั้นที่ 2 อีก ก็คือการทดลองในสัตว์ทดลอง ถามว่าทำไมถึงต้องทดลองในสัตว์ทดลอง เพราะการทดลองในสัตว์ทดลองเป็นวิธีเดียวที่จะไม่ถูกรบกวนจากการรักษาด้วยวิธีอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นการคีโม ฉายแสง ฯลฯ เลย โดยวิธีนี้ทดลองเพื่อคำนวณโดส หรือปริมาณตัวยา ว่าในสัตว์ทดลองได้ผลดีหรือไม่ ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ไหม ฆ่าเซลล์มะเร็งได้หรือเปล่า หรือหนูที่ทดลองอายุขัยยืนยาวหรือไม่ ก็มีแนวโน้มที่จะไปนำใช้ในการวิจัยในมนุษย์ต่อไปได้ ตรงนี้จึงถือเป็นความก้าวหน้าซึ่งจะรู้ภายในอีก 1 เดือนที่จะถึงนี้ครับ

การวิจัยของเราก็เหลือแต่การทดลองในมนุษย์นี่แหละครับที่ทำไม่ได้ เพราะกฎหมายเราไม่เอื้อ กัญชาเป็นยาเสพติดอยู่ นอกจากจะปลดล็อกกฎหมายเสียก่อนถึงจะเริ่มใช้กับมนุษย์ได้จริง

                                                                              

 

 

• การปลดล็อกกัญชาเพื่อทางการแพทย์จะได้ประโยชน์อย่างไรบ้างคะ

ผมมองว่าเรื่องกัญชาเราเร็วกว่าทุกคนในโลกมาหลายร้อยปีแล้ว ถ้าเราปลดล็อก เราทำได้ ผมเชื่อว่าภูมิปัญญาชาติที่เคยหายไปเป็นหลายร้อยปีจะกลับคืนมาอย่างรวดเร็วเลยล่ะครับ

ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพหน่อยนะครับ เพราะที่จริงตำรับยาไทยใช้สมุนไพรที่ในวันนี้เราเรียกว่าสารเสพติด มีตัวสำคัญ คือ

กัญชา - กัญชาถือเป็นพืชเสพติดประเภทที่ 5 คู่กับ กัญชง ด้วย กัญชงนี่แล้วใหญ่เลยนะครับ นอกจากไม่ติดแล้วยังไม่ทำให้เมาด้วย เพราะมันไม่ได้มีสาร THC (delta-9-Tetrahydrocannabinol) เป็นสารหลักมันมีสารอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า CBD (Cannabidiol) แต่ไม่เป็นที่นิยมปลูกในประเทศไทยเพราะมันไม่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาท ไม่เมา ไม่เคลิ้ม แต่ทำให้หลับ หยุดอาการลมชักฉับพลันภายใน 15 นาที หยุดได้เลย สารตัวนี้มีอยู่ในกัญชาด้วยนะครับ แต่กัญชงถูกพ่วงเข้าไปเป็นยาเสพติดเพิ่งจะปลดล็อกออกจากยาเสพติดไม่กี่ปีมานี้ แต่ก็ถูกจำกัดพื้นที่เพาะปลูกอย่างน้อย 5 ปีในพื้นที่ราชการ แล้วก็ไม่ได้เพื่อเอาสารสำคัญมาทำเป็นยานะครับ กลับเอาไปทำเป็นใยผ้า แต่ต่างชาติใช้ในทางการแพทย์แล้ว ดูสิครับ มันน่าเสียดายไหม ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่มาของการจดสิทธิบัตรข้างต้นด้วย

ฝิ่น - คือสมุนไพรที่ทั้งโลกประณามว่ามันคือยาเสพติด แต่วันนี้เรากลับเอามาสกัดให้ผูกขาดโดยบริษัทเดียวในโลกในการผลิตมอร์ฟีนเพื่อจ่ายให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งเพื่อหยุดอาการปวด จะได้เห็นว่าการผูกขาดอยู่เจ้าเดียว มันตามมาด้วยการค้าด้วยที่แฝงเข้ามา ในขณะที่ประณามยาเสพติดอีกด้านหนึ่งมันก็คือการปกป้องทางการค้า

กระท่อม - สมุนไพรนี้ก็ถูกเรียกว่ายาเสพติด ทั้งที่เป็นพืชพื้นบ้านที่ใช้บำรุงกำลังให้กับชาวบ้านที่ต้องใช้พละกำลัง และก็มีส่วนช่วยหยุดอาการปวดกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งกระท่อมถูกจดสิทธิบัตรโดยต่างชาติเช่นญี่ปุ่นไปแล้ว

จะเห็นได้ว่าพืชเหล่านี้เป็นพืชเสพติด แต่กลับไปถูกจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ ผมมองว่าถ้าวันนี้เรามองว่ากัญชาคือยาเสพติด คำถามคือ แล้วเราปล่อยมอร์ฟีนมาที่มาจากฝิ่นมาใช้ทางการแพทย์ได้ยังไง ทั้งๆ ที่เราก็เคยเรียกมันว่ายาเสพติด กัญชาก็ต้องเทียบเคียงระบบในการบริหารจัดการได้ไม่ต่างกัน แต่ยังไงก็อย่าปล่อยให้ผูกขาดโดยต่างชาติอีกก็แล้วกันครับ

                                                                              

 

• แต่ก็ยังมีหลายคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน อาจารย์อยากอธิบายหรือพูดถึงอะไรเกี่ยวกับกัญชาอีกบ้างไหมคะ

ผมอยากจะบอกว่าที่แชร์กันอยู่ตอนนี้ว่ากัญชารักษามะเร็ง ผมสำรวจดูแล้วว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้กัญชารักษามะเร็งอย่างเดียว เขาต้องผนวกการรักษาอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น คนที่ดีขึ้นเพราะเขารักษาโดยการคีโมฉายแสงมาแล้ว แล้วใช้กัญชาในการลดพิษ ทำให้เจริญอาหาร ทำให้หลับ ทำให้ลดอาการปวด จากผลข้างเคียงการรักษา เขาก็เลยเข้าใจว่ากัญชาทำให้เขาหาย จริงๆ กัญชาทำให้เขาลดผลข้างเคียงจากอาการคีโมฉายแสง อาจจะเป็นแค่นี้ก็ได้ ต้องวิจัยในมนุษย์เท่านั้นถึงจะรู้

อีกอย่างคนที่หายในแนวทางธรรมชาติบำบัด เขาไม่ได้ใช้กัญชาเป็นยาเดี่ยวอย่างเดียว เรื่องนี้สำคัญนะครับ เพราะด้วยความที่ภูมิปัญญาไทยเขาไม่ได้ใช้สมุนไพรเป็นสมุนไพรเดี่ยว เหตุผลเพราะเขารู้และมีภูมิปัญญารู้ว่าการใช้สมุนไพรเดี่ยวมีโทษกลับมาด้วย ภูมิปัญญาไทยไม่เคยใช้ยาเดี่ยวตั้งแต่โบราณเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่จะใช้สมุนไพรหนึ่งตัวต้องประกอบอีก 2-3 ตัว เพื่อแก้ฤทธิ์ของมัน ดังนั้น ภูมิปัญญาชาติของไทยที่รู้จักใช้สมุนไพรจะเข้าใจเพื่อรู้จักวิธีการใช้ และลดพิษหรือผลร้ายของมันด้วย ต่างจากยุคปัจจุบันที่สนใจแต่สารสกัดสำคัญเพียงเท่านั้น ส่วนใหญ่คนที่เขาอยากโฆษณามักจะมองข้ามและไม่สนใจในเรื่องพวกนี้เท่าไหร่

ผมอยากจะเรียนตรงนี้เลยว่า มีคนแอบใช้กัญชาและเสียชีวิตเยอะมาก เพราะเขาเข้าใจผิดคิดว่ากัญชาเป็นยาเดี่ยวและรักษามะเร็งได้เลย ผมขอยืนยันว่ามีเยอะมากจริงๆ แต่ไม่เป็นข่าว ที่เป็นข่าวคือหยิบมาส่วนเดียวเพื่อเอามาประชาสัมพันธ์ หลายคนบอกกัญชาได้ผลแต่มาเสียชีวิตเพราะนู่นเพราะนั่น แท้ที่จริงเราอาจจะไม่รู้ว่ามันเป็นฤทธิ์ข้างเคียงจากกัญชานี่แหละ และเข้าใจว่ามะเร็งหาย อาการดีขึ้น และเสียชีวิตด้วยโรคอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือมะเร็งลดลง แต่ลำไส้ทะลุเพราะว่าลำไส้ไม่เคลื่อนไหวและให้อาหารไม่ถูก ฯลฯ เป็นต้น นี่ผมยกตัวอย่างให้เห็นนะครับ เพราะฉะนั้นตราบใดที่เราไม่เข้าใจมัน ใช้ในทางที่ไม่ถูกก็จะเป็นอันตรายได้ ผมคิดว่าถ้าขืนยังเป็นอยู่แบบนี้คนที่เสียประโยชน์ที่สุดก็คือประชาชน และผู้ป่วยนี่แหละครับ

• ท้ายนี้มีความคาดหวังในเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรอีกบ้างคะ

 

ตอนนี้ผมมีความหวังนะครับ เพราะอยู่ในขั้นตอนร่างประมวลกฎหมายใหม่เพื่อจะกำหนดให้ใช้ยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 เพื่อการรักษาโรคหรือเพื่อการศึกษาวิจัยในทางการแพทย์ได้แล้ว ต้นร่างกำลังจะเข้าไปในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเดือนหน้า แต่ว่ากว่าจะประกาศใช้ก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหน อีก 6 เดือนหรือเปล่า หรืออีก 1 ปีหรือเปล่า ถามว่าผู้ป่วยเขาจะรอได้หรือ และผู้วิจัยล่ะจะช้าไหม

ในใจผมยังคิดว่าต้องใช้มาตรา 44 หรือประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยซ้ำไป เพื่อให้กัญชาใช้ในทางการแพทย์ ชิงก่อนที่ต่างชาติจะรีบจดสิทธิบัตรหรือแห่กันจดสิทธิบัตรข้ามชาติจนเราไม่สามารถทำอะไรได้ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะ ความเร็ว การตัดสินใจ และการช่วงชิงไหวพริบปฏิภาณด้วย ถ้าเรายังช้าอยู่ เราจะขาดองค์ความรู้ทั้งที่เรามีของดีอยู่ ไม่เช่นนั้นภูมิปัญญาชาติทั้งหมดของเราก็จะหายไป และเราต้องไปพึ่งองค์ความรู้และจดสิทธิบัตรจากชาวต่างชาติ หรือไม่ก็อาจจะต้องไปพึ่งการนำเข้าจากต่างประเทศแทน

เราต้องมาผลักดันเรื่องเหล่านี้ ให้ภูมิปัญญาชาติเอามาใช้ได้จริง ตามตำรับยาไทยที่เคยหายไป เพราะมันเป็นภูมิปัญญาไทยที่พระราชทานจากพระมหากษัตริย์ไทยจากรุ่นสู่รุ่นด้วย เราจะทอดทิ้งไปได้อย่างไร ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันผลักดัน ทั้งภาครัฐก็ดี ทั้งภาคประชาชนก็ดี ผู้นำหรือผู้บริหารประเทศต้องมีวิสัยทัศน์ รีบปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด ส่วนประชาชนอย่าไปคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วยก็ตามก็อยากให้ช่วยกันผลักดันครับ

ดังนั้น อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเป็นผู้พ่ายแพ้ในความล่าช้า หรือจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะจากภูมิปัญญาชาติที่รู้ก่อนชาติใด... มีสองทางเลือก ตอนนี้ก็รอการปลดล็อกเท่านั้นครับ

 

                                                                            

 

เรื่อง : วรัญญา งามขำ

ภาพ : วชิร สายจำปา