เปิดบันทึก มรดกภูมิปัญญาพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ ๓ “รักษาโรคมะเร็งตับ”

รูปแสดงโฆษณา ยาขาว

ฟ้าทะลายโจร

ยาลม 300 จำพวก

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

จากข้อมูลของสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขได้เผยแพร่รายงานว่าในปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วย โรคมะเร็งประมาณ 77,566 คน เป็นเพศชาย 44,490 คน เป็นเพศหญิง 33,076 คน ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุ การตายอันดับหนึ่งของคนไทยแล้ว ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

 

ผู้ชายไทยมีจํานวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งช่องปากและคอหอย มะเร็งเม็ดเลือดขาว

ส่วนผู้หญิงไทยมีจํานวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 5 อันดับแรก ได้แก่มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และ มะเร็งลําไส้ใหญ่

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโรคมะเร็งที่เป็นปัญหาสําคัญ 5 อันดับแรกของประเทศ คือ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลําไส้ใหญ่

และโรคมะเร็งตับได้กลายเป็นแชมป์ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งหมดของคนไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผลสำรวจเมื่อปี 2559 พบว่าในบรรดาโรคมะเร็งซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยมากที่สุดนั้น ปรากฏว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีในตับประมาณ 17,070 คน แบ่งเป็นเพศชายส่วนใหญ่ประมาณ 12,086 คน แบ่งเป็นเพศหญิง 4,984 คน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ชายเสี่ยงชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับมากกว่าผู้หญิงมาก ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมากจากพฤติกรรมของผู้ชายไทยมีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และการบริโภคมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง [1]

แม้โรคมะเร็งตับจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ การบริโภคน้ำตาลมาก ฯลฯ [2] แต่งานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2551 พบว่าการเกิดโรคมะเร็งตับของคนไทยส่วนใหญ่เกิดขึ้นมากที่สุดในภาคอีสาน (โดยเฉพาะที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดขอนแก่น) รองลงมาคือภาคเหนือ ในขณะที่ภาคกลาง โดยเฉพาะภาคใต้เกิดโรคมะเร็งตับน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดโรคมะเร็งในตับและท่อน้ำดีในตับของคนไทยในภาคอีสานและภาคเหนือเกินกว่า 60% เกิดจากพยาธิใบไม้ที่มีชื่อว่า Opisthorchis viverrin ซึ่งพบมากในผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทย [3]

นอกจากนั้นปัจจัยเกี่ยวกับสารพิษจากเชื้อรา เช่น อะฟลาท็อกซิน ที่เกิดขึ้นจากถั่วตากแห้ง และจากพืชและสมุนไพรที่ผลิตและจัดเก็บไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งตับได้ [4] และยังมีอีกหลายสาเหตุที่ยังไม่ขอกล่าวในที่นี้ เช่น ความเครียด สารพิษ โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ฯลฯ

นอกจากนี้พฤติกรรมของคนไทยอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ คนไทยกินหวานมากขึ้น ใส่น้ำตาลมากขึ้น ก็อาจจะเป็นอีกความเสี่ยงทำให้เกิดโรคมะเร็งตับเพิ่มสูงขึ้นด้วย เพราะงานวิจัยอย่างเป็นระบบในวารสาร Oncotarget เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 ได้ทำการวิจัยด้วยการวิเคราะห์อภิธานในฐานข้อมูลของ PubMed, EMBASE และห้องสมุดในระบบของ The Cochrane ถึงเดือนตุลาคม 2559 พบว่า “ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงเพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์ในการเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งตับ ดังนั้นผู้ที่เป็นเบาหวานจึงย่อมมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งตับได้ด้วย” [5]

โดยย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2503 คนไทยยังไม่บริโภคน้ำตาลมากขนาดนี้ คือบริโภคกันประมาณ 7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณไม่ถึงคนละ 4.79 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น

และพ.ศ. 2529 คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 24 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณเฉลี่ยคนละ 6 ช้อนชาต่อวัน [6] แต่พ.ศ. 2557 คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 28.4 ช้อนชาต่อคน !!! [7]

หมายความว่าเวลาผ่านไปช่วง 30 ปีมานี้ คนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นต่อคนเกือบ 5 เท่าตัว และเป็นการบริโภคเกินกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกถึง 5 เท่าตัวด้วย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสาเหตุแห่งโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดีนั้นสามารถมีได้หลายประการ อย่างไรก็ตามโรคมะเร็งตับยังเป็นโรคที่ “มีอัตราการรอดชีวิตอยู่ในระดับต่ำ” ด้วยวิธีการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งการผ่าตัด การฉายรังสี และคีโมบำบัด ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น ผลการวิจัยสำรวจการรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดี (intrahepatic cholangiocarcinoma) ในประเทศไทยซึ่งเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยใช้วิธีการ “ผ่าตัด” นั้นปรากฏว่ามีอัตราการรอดชีวิตเป็นเวลา 5 ปี หลังการผ่าตัดประมาณ เหลือเพียงแค่ 11.2% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยหลังการผ่าตัด และค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมีชีวิตรอดประมาณ 1 ปี เท่านั้น [8]

จากการสำรวจสถิติผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งตับจำนวน 27,255 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2531 - พ.ศ. 2546 พบว่าผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 45 ปีลงมา มีอัตราการรอดชีวิตในระยะเวลา 5 ปี เพียง 14.5% ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป มีอัตราการรอดชีวิตในระยะเวลา 5 ปีน้อยกว่านั้นคือ 8.4% เท่านั้น [9]

ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับและโรคมะเร็งปอดมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมากในทุกประเทศ โดยจากการสำรวจสถิติระหว่างปี พ.ศ. 2548 - พ.ศ. 2552 พบว่าทุกประเทศของยุโรปผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปีต่ำกว่า 20% ในขณะที่ในอเมริกาเหนือผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี ประมาณ 15% -19% ในขณะที่ประเทศไทย ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปีอยู่ในระดับ 7%-9% เท่านั้น [10]

ในขณะที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับส่วนใหญ่มีอัตราการรอดชีวิตต่ำมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในประเทศไทยนั้นมีอัตราการรอดชีวิตต่ำมากกว่าประเทศอื่นๆ ย่อมเกิดคำถามว่าเรามีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือไม่ คนไทยในอดีตกาลซึ่งไม่ได้มีการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันนั้นรู้จักโรคมะเร็งหรือไม่ รู้จักโรคมะเร็งตับหรือไม่ และรู้วิธีการรักษาหรือไม่?

ในกรณีการติดเชื้อจุลชีพ (พยาธิ, ไวรัส, แบคทีเรีย, เชื้อรา)เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งตับอันเกิดจากพยาธิใบไม้ที่มีชื่อว่า Opisthorchis viverrin มีอัตราการเกิดโรคในประเทศไทยชุกชุมมากกว่าที่ใดในโลก เป็นโรคประจำถิ่นที่มาพร้อมกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่รับประทานดิบๆ หรือแหล่งน้ำที่มาพร้อมกับพยาธิ ซึ่งโรคนี้ก็ควรจะอยู่กับคนไทยมาก่อนนานแล้ว คำถามมีอยู่ว่าคนไทยไม่รู้จักโรคนี้เลยหรือ และไม่รู้จักวิธีการรักษาโรคนี้เลยหรืออย่างไร?

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เคยแถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561 โดยระบุว่า

“โรคมะเร็งปัจจุบันยังไม่มีตำรับยาสมุนไพรใดที่ขึ้นทะเบียนเป็นยารักษามะเร็งโดยเฉพาะ แต่ก็มีการวิจัยอยู่ ทั้งการวิจัยของกรมฯ และการวิจัยร่วมกับเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยสมุนไพรที่มีแนวโน้มพัฒนาเป็นสูตรยับยั้งมะเร็งได้ 3 ชนิด คือ 1.สูตร N040 ตำรายาจากภาคเหนือยับยั้งเซลล์มะเร็งปากมดลูก 2.เบญจอำมฤตย์ ยับยั้งมะเร็งตับ และ 3.สูตรวัดคำประมง โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการทดลองทั้งสิ้น แต่เบื้องต้นพบว่าสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ จึงมีการศึกษาต่อในสัตว์ทดลอง และในมนุษย์” [11]

และในส่วนของโรคมะเร็งตับท่านอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับยาเบญจอำมฤตย์ว่า

“สูตรยาเบญจอำมฤตย์ ยับยั้งมะเร็งตับจะประกอบด้วย มหาหิงคุ์ ยาดำบริสุทธิ์ รงทอง มะกรูด ขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย รากทนดี และดีเกลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างทดลองในมนุษย์ ซึ่งดูระดับความเป็นพิษระยะสั้นและระยะยาว” [11]

คำแนะนำของท่านอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกจึงระบุว่า

“ย้ำว่าขณะนี้สมุนไพรต่างๆ ที่รักษามะเร็ง ยังไม่มีการขึ้นทะเบียน ดังนั้น จึงอยากให้รักษาแพทย์แผนปัจจุบัน หรือใช้แพทย์แผนไทยร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันที่เรารักษา และได้รับความยินยอมจากแพทย์แผนปัจจุบันก่อนดีกว่า” [11]

ข้อความดังกล่าวนั้นอาจทำให้สังคมไทยสิ้นหวัง เพราะนอกจากผลการรักษาโรคมะเร็งตับตามแนวทางแพทย์แผนปัจจุบันจะมีอัตรารอดชีวิตอยู่ในระดับต่ำแล้ว ยาเบญจอำมฤตย์เป็นยาตำรับเดียวที่อาจจะใช้สำหรับยับยั้งมะเร็งตับในหลอดทดลองได้ ก็ยังอยู่ระหว่างงานวิจัยในเรื่องความเป็นพิษเท่านั้น ยังไม่ได้ระบุว่าจะสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้แต่ประการใด

แต่ในความเป็นจริงแล้วการรักษาในแพทย์แผนไทยนั้นไม่ได้ใช้ยาเดี่ยวหรือตำรับเดียว หลายโรคมีขั้นตอนและวิธีการรักษาหลายขั้นตอน ซึ่งไม่ได้ใช้ตำรับใดตำรับหนึ่ง และอาจต้องใช้หลายตำรับเรียงตามกระบวนการรักษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้สอดรับกับประเภทของโรคและลักษณะของผู้ป่วยที่มีสภาพในรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน

ความเป็นจริงแล้วยารักษาโรคมะเร็งตับไม่ได้มียาเบญจอำฤตย์เพียงตำรับเดียว และยาเบญจอำฤตย์ก็เป็นเพียงตำรับหนึ่งที่ใช้เป็นขั้นตอนหนึ่งที่เน้นการขับถ่ายของเสียจากร่างกาย ซึ่งเป็นหนึ่งขั้นตอนของหลายขั้นตอนในการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนไทยเท่านั้น

ในการแพทย์แผนไทยจำเป็นต้องวินิจฉัยสาเหตุโรคที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ฤดูกาล อายุ ประเทศที่อยู่อาศัย ทำให้เสียสภาพปรกติไปอย่างไรไม่ว่าจะเป็น การหย่อน การกำเริบ และพิการ ของธาตุต่างๆ แล้วมีผลกระทบแต่ละอวัยวะและธาตุเป็นลูกโซ่อย่างไร จึงจะเรียงลำดับและจัดตำรับยาได้ถูกต้อง ลักษณะของแพทย์แผนไทยจึงเป็นการจัดตำรับยาให้สอดคล้องกับผู้ป่วยแต่ละปัจเจกบุคคล ไม่ใช่จัดตำรับยาไทยเพียงตำรับเดียวหรือสกัดสารสำคัญเพื่อรักษาผู้ป่วยทุกคนเหมือนกันหมด

ดังนั้นการวิจัยจากยาตำรับเดียวถ้าวินิจฉัยสมุฏฐานแห่งโรคผิด ตำรับที่ใช้ไม่ตรงกับโรคก็ย่อมไม่มีทางหายป่วยได้

หรือคัดเลือกส่งผู้ป่วยระยะสุดท้ายมาให้แพทย์แผนไทยเพราะการรักษาแผนปัจจุบันจนไม่ได้ผลไปแล้ว ใช้ตำรับยาไทยไปก็อาจจะไม่ได้ผล หรือได้ผลน้อย เพราะในบางโรคที่มีลักษณะคล้ายมะเร็ง แพทย์แผนไทยก็มีการระบุให้รักษาด้วยแพทย์แผนไทยตั้งแต่เริ่มแรกก่อนที่จะลุกลามบานปลายไม่แตกต่างจากแพทย์แผนปัจจุบัน เช่นกัน

เก็บสมุนไพรผิดขั้นตอน ผิดเวลา ผิดฤดูกาล หรือผสมตำรับยาเรียงลำดับไม่ครบตามขั้นตอน ตำรับยานั้นย่อมไม่ได้ผลวิจัยไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเอาชนะโรคร้ายได้

แต่ในความเป็นจริงแล้วแพทย์แผนไทยในอดีตรู้จักคำว่า “มะเร็ง” มานานแล้ว และมีการบันทึกโรคที่อาจใช้ชื่ออื่นแต่เป็นลักษณะอาการที่เรียกชื่อว่าโรคมะเร็งในยุคนี้ ดังปรากฏหลักฐานมานานกว่า 167 ปีที่แล้ว ในศิลาจารึกที่เป็นตำรับยาในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. 2367-2394) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมเลือกสรรตำรับตำราต่างๆ รวมถึงตำราการแพทย์มาจารึกลงบนแผ่นหินอ่อนประดับไว้ตามผนัง คอสองเสาของระเบียงรอบพระอุโบสถ พระวิหาร พระวิหารคต และศาลารอบรายรอบพระมณฑปภายในวัด

วิชาการแพทย์แผนไทยเป็นความรู้ที่สืบทอดมาแต่โบราณ เมื่อครั้งสมัยอยุธยาที่บ้านเมืองมีสงคราม ตำราการแพทย์แผนไทยก็มีการสูญหายกระจัดกระจายไป ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พ.ศ. 2310-2325)ทรงกอบกู้เอกราชแล้วได้ทรงฟื้นฟูบ้านเมืองทุกด้าน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำราการแพทย์แผนไทยก็ทรงสนพระทัยโปรดให้ค้นคว้า รวบรวม และฟื้นฟูบูรณาการ ด้วยเหตุผลดังกล่าววิชาการแพทย์แผนไทยจึงสืบทอดต่อมาได้จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์

เมื่อถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของวิชาการแพทย์แผนไทยดังกล่าวจึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมตำรายาจารึกลงบทแผ่นศิลา และปั้นรูปฤาษีดัดตนประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ เมื่อ พ.ศ. 2331

ครั้นเมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตในวิชาการสาขาต่างๆ ค้นคว้า รวบรวมตรวจสอบและคัดสรรตำราวิชาการต่างๆให้ถูกต้อง แล้วให้จารึกลงบนแผ่นศิลาประดิษฐานไว้ตามเสนาสนะภายในวัดโพธิ์ เพื่อให้อาณาประชาราษฎร์ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างทั่วถึง เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตำราการแพทย์แผนไทยนั้น เป็นตำราที่จารึกไว้อย่างมีระบบ โดยได้จัดทำศิลาจารึกพร้อมกับการขยายและบูรณะวัดโพธิ์รวมใช้เวลาถึง 16 ปี 7 เดือน

การบันทึกนั้นนอกจากจะมีการมีการตรวจสอบและคัดสรรตำราวิชาการแพทย์แล้ว หมอยาหรือผู้มีความรู้ในตำรายาเหล่านั้นต้อง “สาบานตัวว่า ยาขนานนั้นๆ ตัวเองเคยใช้รักษาโรคมาแล้วและได้ผลดีจริง” ต่อจากนั้นพระยาบำเรอราชแพทย์ ซึ่งเป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนักในขณะนั้น ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งก่อนนำมาจารึก

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแม้ในอดีตจะไม่ได้มีการวิจัยทดลองในหลอดทดลอง หรือสัตว์ทดลองเหมือนกับการวิจัยในปัจจุบัน แต่ในอดีตประเทศไทยก็ได้มีการบันทึกตำรับยาที่ใช้กับมนุษย์มาแล้วได้ผลจริงจากรุ่นสู่รุ่น โดยผ่านการตรวจสอบจากแพทย์หลวงประจำราชสำนักอีกชั้นหนึ่ง เมื่อตรวจสอบแล้วจึงได้จารึกลงในแผ่นหินให้เป็นภูมิปัญญาไว้ราษฎรเพื่อมิให้สูญหาย

เวลาผ่านมาเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน ศิลาจารึกที่วัดโพธิ์ควรจะมีมากกว่า 2,000 รายการ แต่จากการสำรวจเพื่อนำเสนอยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในทะเบียนนานาชาติเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 กลับปรากฏว่าพบศิลาจารึกเหลือเพียงจำนวน 1,440 รายการ

แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ภูมิปัญญาชาติได้สูญหายไปเป็นจำนวนมาก แต่กระนั้นก็ยังโชคดีที่ยังเหลือภูมิปัญญาพระราชทานในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งและโรคมะเร็งตับเอาไว้ให้เป็นมรดกของคนรุ่นหลังต่อไปได้

คำว่า “มะเร็ง” นั้นได้ถูกบันทึกเอาไว้เป็นตำรับยาในศิลารึกของวัดโพธิ์อยู่หลายตำรับ เช่น มะเร็งคุด, มะเร็งเพลิง, มะเร็งรำมะนาด, มะเร็งไร, มะเร็งลาม, มะเร็งทรวง, มะเร็งไข้ตะมอย, ไข้รากสาดมะเร็งทูม, ยาแก้สรรพมะเร็ง, ยาโรยแก้มะเร็งทั้งปวง, ยากินแก้สรรพมะเร็ง, ยาเป่ามะเร็ง, ยากินแก้มะเร็งทั้งปวง ฯลฯ [12], [13]

แม้ว่าจะมีบันทึกคำว่ามะเร็งเอาไว้อยู่หลายศิลาจารึก แต่ในอดีตนั้นหมายถึงกลุ่มโรคเรื้อรังกลุ่มหนึ่ง ผู้ป่วยมักมีแผล ผื่น ตุ่ม ก้อน เป็นต้น อาจผุดขึ้นตามส่วนต่างๆ ภายในหรือภายนอกร่างกาย ถ้ามีไข้ร่วมด้วยก็จะเรียกไข้มะเร็งชื่อนั้นๆ ถ้าผู้ป่วยมีฝีร่วมด้วยจะเรียกว่าฝีมะเร็งชื่อนั้นๆ [14]

ดังนั้นความหมายของมะเร็งหลายชนิดของแพทย์แผนไทยในอดีตอาจจะเป็นคนละความหมายกับคำว่ามะเร็งในยุคปัจจุบันก็ได้ แต่ก็มีมะเร็งบางชนิดก็อาจจะมีความหมายว่าเป็นโรคมะเร็งในปัจจุบันด้วยเช่นกัน

แต่ในทางตรงกันข้ามหลายโรคในอดีตที่ไม่ได้เรียกว่าโรคมะเร็งแต่ปัจจุบันกลับให้นิยามว่าเป็นโรคมะเร็งได้ด้วย และในกลุ่มที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะโรคที่มีคำว่า “ฝี” และ “กระษัย”

“ฝี” ในทางแพทย์และเภสัชกรรมไทย หมายถึง โรคจำพวกหนึ่ง มักเป็นต่อมขนาดต่างๆบวมขึ้น อาจกลัดหนองข้างใน เกิดได้ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ผู้ป่วยมักจะมีไข้ เจ็บปวดบริเวณที่เป็น เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของฝี มีชื่อเรียกต่างๆกันตามลักษณะ หรือสาเหตุที่เกิด เช่น ฝีกาล, ฝีวัณโรค, ฝีหัวคว่ำ, ฝียอดเดียว, อย่างไรก็ตาม ในทางการแพทย์แผนไทย ฝีบางชนิดอาจหมายถึง มะเร็ง หรือฝีมะเร็ง, เชียด เซียด หรือ เทรียด ก็เรียก ราชาศัพท์ว่า พระยอด [14]

“กระษัย” (กษัย) ในทางแพทย์และเภสัชกรรมไทย หมายถึง โรคกลุ่มหนึ่ง เกิดจากความเสื่อมหรือความผิดปกติของร่างกาย จากความเจ็บป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาแล้วไม่หาย ทำให้ร่างกายซูบผอม กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรัดตึง โลหิตจาง ผิวหนังซีดเหลือง ไม่มีแรง มือเท้าชา เป็นต้น โดยตำราการแพทย์แผนไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามสาเหตุของการเกิดโรค คือ กระษัยที่เกิดจากธาตุสมมุฏฐาน (มี 8 ชนิด ได้แก่ กระษัยกล่อน 5 ชนิด กับกระษัยน้ำ กระษัยลม และกระษัยเพลิง) กับ กระษัยที่เกิดจากโรคที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ (มี 18 ชนิด ได้แก่ กระษัยล้น กระษัยราก กระษัยเหล็ก กระษัยปู กระษัยจุก กระษัยลิ้นกระบือ กษัยเต่า กระษัยดาน กระษัยท้น กระษัยเสียด กระษัยเพลิง กระษัยน้ำ กระษัยเชือก กระษัยลม) [14]

ซึ่งแม้ว่าฝีและกระษัยจะมีอยู่หลายชนิด แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวเฉพาะโรคหรือวิธีการรักษาที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็งตับ ดังตัวอย่างต่อไปนี้           

                                                                            

ภาพประกอบที่ 1 : ศิลาจารึก “กระษัยลิ้นกระบือ” ในศาลานวด ๑ ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)

 

“กระษัยลิ้นกระบือ” ปรากฏบนศิลาจารึกศาลนวด ๑ ตามภาพประกอบที่ 1 [12] ความว่า :

“สิทธิการิยะ จะกล่าวลักษณะกระษัยโรค อันบังเกิดขันเป็นอุปปาติกะ คือกระษัยลิ้นกระบือนั้น เป็นคำรบ ๑๐ บังเกิดเพื่อโลหิตลิ่มติดอยู่ชายตับเป็นตัวแข็งยาวออกมาจากชายโครงขวา มีสัณฐานดั่งลิ้นกระบือ กระทำให้ครั่นตัวให้ร้อน ให้จับเป็นเพลา ให้จุกให้แน่นอก ให้บริโภคอาหารมิได้ ให้นอนมิหลับอยู่เป็นนิจ ให้กายนั้นซูบผอมแห้งไป ครั้นตัวแก่เข้า กระษัยแตกออกเป็นโลหิตแลน้ำเหลือง ไหลซึมไปในลำไส้ใหญ่น้อย ทำให้ไส้พองท้องใหญ่ดังกล่าวมานี้ จึงได้ชื่อว่ามานกระษัยเป็นอาสาทยะโรค [15] แพทย์จะยายากนักฯ

ถ้าจะแก้ให้แก้แต่ยังอ่อนเป็นลิ้นกระบืออยู่นั้นได้บ้าง ถ้าแก่ตัวกระษัยแตกแล้วแก้มิได้เลย แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ดังนี้ฯ

ถ้าจะแก้เมื่อยังอ่อนอยู่นั้น ให้แก้ด้วยยาเนาวหอยอันอยู่ในแผ่นศิลาว่าด้วยกระษัยจุกเป็นคำรบ ๕ นั้น ละลายน้ำด่าง ๗ ประการนี้ให้กินคือ ด่างสำโรง ด่างงวงตาล ด่างไม้ขี้หนอน ด่างเบญจเหล็ก ด่างพันงูแดง ด่างตาตุ่ม ด่างผักโหมหนาม ด่างทั้ง ๗ นี้เป็นน้ำกระสายยาเนาวหอยกิน ๗ วัน แล้วจึงแต่งยารุ[16]ให้กินต่อไปฯ

ยารุกระษัยลิ้นกระบือ เอาตรีกฏุก เทียนดำ มหาหิงคุ์ ยาดำ ว่านน้ำ กานพลู การบูร สิ่งละส่วน ลูกสลอด ประสะแล้ว ๙ ส่วน ทำเป็นจุณเอาน้ำตาลหม้อ น้ำมะขามเปียกเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ ถ้าธาตุหนักกิน ๒ ไพ ธาตุเบากิน ๑ ไพ ลงสิ้นเชิง แล้วจึงกินยาเนาวหอย ๕ วันกินที ๑ กินยาเนาวหอยไปอีก ๗ วัน รุทีหนึ่ง กินให้ได้ ๓ ครั้ง ถ้าโรคนั้นหนักลงให้บวมท้อง จึงแต่งยาแก้ต่อไปดังนี้

ยาแก้กระษัยลิ้นกระบือบั้นปลายกระทำให้บวมนั้น เอาพญามือเหล็ก แก่นขี้เหล็ก ยาข้าวเย็นสิ่งละ ๑๐ ตำลึง สารส้ม ดินประสิวขาวสิ่งละ ๑ ตำลึง รงทอง ๑ บาท ต้มตามวิธีให้กิน ๖ วัน แล้วรุวัน ๑ ดีวิเศษนักฯ”

นอกจากจะปรากฏวิธีการและขั้นตอนการรักษาโรคกระษัยลิ้นกระบือตามที่ปรากฏข้างต้นแล้ว เมื่อเกิดภาวะที่ท้องบวมใหญ่จากผลข้างเคียงของโรคร้ายจนลุกนั่งไม่ได้ เรียกว่า “มานน้ำ” ก็ยังปรากฏวิธีการรักษาอยู่บนศิลาจารึก ผนังศาลาวิมังสาที่เกี่ยวข้องกับ มานน้ำอีก ๗ ศิลาจารึกโดยเฉพาะ คือมานน้ำคำรบ ๑ ถึง มานน้ำคำรบ ๗ เพื่อลดภาวะท้องบวมดังกล่าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอีกด้วย [13]

นอกจากนี้ยังมีบันทึก “ฝีรวงผึ้ง” ปรากฏในศิลาจารึก บนผนังศาลาวิมังสา กล่าวถึงโรคหนึ่งที่อาจจะเกี่ยวข้องกับโรคตับและถุงน้ำดีด้วยความว่า :

“ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยอันหนึ่งใหม่ ว่าด้วยลักษณะวัณโรคบังเกิดภายใน อันชื่อว่าฝีรวงผึ้งนั้นเป็นคำรบ ๗ เมื่อจะบังเกิดกระทำให้แน่นชายตับเบื้องขวา ให้ยอกตลอดสันหลัง ให้ตัวเหลืองหน้าเหลือง จักษุดุจขมิ้น ปัสสาวะก็เหลืองดุจน้ำกรัก ให้จับสะบัดร้อนสะท้านหนาว ให้มึนตึง ให้เมื่อยทุกข้อกระดูก ให้อิ่มไปด้วยลม บริโภคอาหารมิได้ดังนี้ฯ

ถ้าจะแก้ เอารากทนดี รากหนามแดง รากก้างปลาแดง รากตาไล รากคนทา รากเปล้าใหญ่ รากย่านาง เอาเสมอภาค ต้มตามวิธีให้กิน เมื่อจะกินเสกสัพพาสี ๗ คาบ แล้วจึงกิน แก้ฝีรวงผึ้ง อันบังเกิดในอุทรนั้น ถ้าแลบุพโพแก่แล้วให้ทวีเปล้าใหญ่ขึ้นเป็น ๒ ส่วน ยาทั้งนั้นเอาสิ่งละส่วน ต้มให้กินหาย ดังอาจารย์ท่านกล่าวไว้วิเศษนักฯ

ขนานหนึ่ง เอาใบมะขาม ใบส้มป่อย สิ่งละกำมือ แล้วเอาตอกมัด ๓ เปราะ เงินของคนไข้ ๑ เฟื้อง ใส่ลงด้วยกันในยา ต้มตามวิธีให้กิน กินครั้งหนึ่งแก้ตอกออกเสียเปราะ ๑ ให้กิน ๓ ครั้ง แล้วคว่ำหม้อเสีย แก้ฝีรวงผึ้งอันบังเกิดในอุทร เป็นยาตัดรากฝีวิเศษนักฯ

ขนานหนึ่ง เอาใบสะเดา ใบเสนียด ใบมะนาว ใบส้มป่อย ใบขัดมอน ไพล กระชาย ข้าวสารข้าวเหนียว เอาเสมอภาค บดด้วยน้ำมันดิบ แล้วเอามารมควัน ไต้เสม็ดเคล้าให้สบกัน แล้วจึงเอามาพอกข้างนอก เอาพ้นพันไว้ ๓ วัน แก้ฝีรวงผึ้ง อันบังเกิดในอุทรนั้น หายวิเศษนักฯ

ขนานหนึ่ง เอาเปลือกมะรุม เปลือกทองหลางใบมน เปลือกกุ่มทั้งสอง ใบลำโพงทั้งสอง กะทือ ไพล กระชาย พริกไทย กระเทียม ใบสลอด เอาเสมอภาค ทำเป็นจุลเคล้าน้ำมะงั่วห่อผ้าขาวนึ่งให้สุก แล้วจึงเอามาประคบ แก้เกลื่อนฝีรวงผึ้งบังเกิดในอุทรนั้นหายวิเศษนักฯ” [12]

นอกจากนั้นยังปรากฏบันทึกในศิลาจารึกในการพัฒนาของโรคร้ายจนถึงขั้นภาวะตับโตเรียกว่า “สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วน” ปรากฏในศิลาจารึกบนผนังศาลาวิมังสาความว่า:

“ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยอันหนึ่งใหม่ ว่าด้วยลักษณะสันนิบาตอันเศษสืบต่อไป อันอาจารย์เจ้าท่านสมมติชื่อไว้ว่าสันนิบาตกะตัดศีรษะด้วน เมื่อจะบังเกิดแก่บุคคผู้ใดก็ดี มักเกิดขึ้นที่ชายตับ ให้ตับใหญ่ออกมาคับโครง บางทีให้ตับนั้นหย่อนลงถึงตะคาก ให้จับเป็นเพลาดังเป็นไข้แลให้เย็นไปทั้งตัว แล้วให้ท้องขึ้นท้องพองให้พะอืดพะอม ถ้าแลลักษณะดังนี้บังเกิดแก่บุคคลผู้ใดนามชื่อว่าไข้สันนิบาตกะตัดดุจกล่าวมาดังนี้ฯ

ถ้าจะแก้ เอาพริกล่อน ดีปลี สิ่งละส่วน ชะมดเชียง พิมเสน ลิ้นทะเล ดีจระเข้ สิ่งละ ๒ ส่วน ชะเอมเทศ กฤษณา สิ่งละ ๔ ส่วน ทำเป็นจุณ สำหรับยานัตถุ์ แก้ไข้สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วนดีนักฯ

ขนานหนึ่ง เอา รากคางเครือ รากมะกอกเผือก รากย่านาง ปู่เจ้าลอยท่า รากสีหวดน้อย รากคุยทั้งสอง รากคางทั้งสอง นอแรด งาช้าง เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ละลายน้ำท่ากิน แก้สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วนนั้นหายวิเศษนักฯ

ขนานหนึ่ง เอา รากหวายขม รากคาคลอง รากส้มป่อย ชะเอมเทศ รากมะดูก เอาเสมอภาค ต้มตามวิธีให้กิน แก้สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วนนั้นหายวิเศษนักฯ

ขนานหนึ่ง เอา ใบฝ้ายเทศ ใบผ่าป่า หัวคูณ รากก้างปลาแดง ยารากดำ หญายา รากนมแมวน้อย คุคะเถามวกแดง เอาเสมอภาคทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ละลายน้ำซาวข้าวกินแก้ไข้สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วนนั้นหายดีนักฯ ขนานหนึ่ง เอารากพรม รากหมอน้อย รากนมแมวน้อย รากสีหวดน้อย เปล้าน้อย ชะเอมเทศ รากผักหวานบ้าน รากนางนูน รากฟักข้าว รากมะดูก รากส้มป่อย เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำซาวข้าว ทั้งกินทั้งชโลม แก้ไข้สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วนซึ่งท่านกล่าวไว้หายวิเศษนักฯ” [12]

มรดกศิลาจารึกโรคที่เกี่ยวข้องกับตับซึ่งประชาชนชาวไทยได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3ได้ถูกสืบทอดต่อมา จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้เพียง 2 ปี (พ.ศ. 2413) โปรดเกล้าฯให้พระเจ้าราชวรวงษ์เธอ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัยจางวางกรมแพทย์เป็นแม่กองจัดหารวบรวม ชำระสอบสวนคัมภีร์แพทย์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนั้นให้ถูกต้อง แล้วส่งมอบให้พระเจ้าราชวรวงษ์เธอ กรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ จางวางกรมอาลักษณ์ กรมอักษรพิมพการ จัดสร้างขึ้นใหม่เป็นคัมภีร์ที่ตรวจสอบชำระแล้วเรียกว่า “เวชศาสตร์ฉบับหลวง”

เวชศาสตร์ฉบับหลวง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบไปด้วย 15 คัมภีร์ ซึ่งเป็นที่มาของตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ที่กลายเป็นตำราหลักในการศึกษาเล่าเรียนของการแพทย์แผนไทยในยุคต่อมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังปรากฏโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ คือ กระษัยลิ้นกระบือ, ฝีรวงผึ้ง, ฯลฯ อยู่ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์จนถึงปัจจุบันนี้ [17]

เพียงแต่ในยุคนี้คือหาหมอยาไทยผู้ที่จะมีความรู้ความสามารถที่จะวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำตามสมุฏฐานแห่งโรคได้ยากมาก ดังนั้นหากขาดความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคแล้วก็ย่อมเลือกตำรับยาผิดไปด้วย นอกจากนั้นการที่จะหาหมอยาไทยที่มีความรู้และความสามารถปรุงยาได้อย่างถูกต้องครบถ้วนตามตำรับยาเดิมได้ก็ยากเต็มทีเช่นกัน

ดังนั้นผู้บริหารกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกจึงจำเป็นต้องมี “ศรัทธา” และ “ความเข้าใจ” ต่อการแพทย์แผนไทยอย่างถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงรวบรวม “ผู้มีความรู้และมีประสบการณ์จริง”ในการใช้ตำรับยาพระราชทานเพื่อต่อยอดในการวิจัยและรักษาผู้ป่วยที่เฝ้ารอความหวังอีกจำนวนมาก มิใช่มองศิลาจารึกเป็นเพียงโบราณวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มรดกภูมิปัญญาจากบูรพมหากษัตริย์ไทยที่พระราชทานบันทึกผ่านศิลาจารึกให้แข็งแรงจนตกทอดมาถึงตำราแพทย์แผนไทยในยุคปัจจุบันได้นั้น พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงต้องมีสายพระเนตรอันยาวไกลเห็นประโยชน์และคุณูปการในตำรับยาการแพทย์แผนไทยที่จะมีต่อประชาชนชาวไทยในยุคนี้ด้วยอย่างแน่นอน

ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต